คำพยานของครูเกียรติ
 
บทเรียนที่ยังสอบไม่ผ่าน

                  "เป็นที่ประจักษ์ชัดอยู่แล้วว่า ไม่มีผู้ใดเป็นคนชอบธรรมในสายพระเนตรของพระเจ้า                                    ด้วยธรรมบัญญัติได้เลย เพราะว่า คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ"
                                                                  ( กาลาเทีย 3:11 )

  
  ไม่น่าเชื่อเวลาผ่านไปแล้ว 7 ปี ที่ต้องต่อสู้อยู่กับการขับเคี่ยว นำลูกหลาน 5 คนไปโบสถ์ให้ทันเวลานมัสการรวี ฯ ต้องมีผู้ใหญ่อีก 5 คนที่ร่วมเดินทางไปโบสถ์พร้อมกันเป็นขบวนใหญ่ 10 ชีวิต   เมื่อลูกๆ ยังอยู่ระดับอนุบาล ก็คิดว่าลูกยังเล็ก ต้องดูแลป้อนน้ำป้อนข้าวให้อาหาร จัดการแต่งตัวบางครั้งยังร้องกระจองงอแง ผ่านไปแต่ละปีด้วยความเชื่อพึ่งในพระเจ้า ตามพระวจนะที่ว่า จงฝึกเด็กในทางที่เขาควรจะเดินไป และเมื่อเขาเป็นผู้ใหญ่แล้วเขาจะไม่พรากจากทางนั้น (สุภาษิต 22 : 6 ) มีความคาดหวังว่า เมื่อลูกๆ โตขึ้นการนำลูกมาเรียนรวีฯ หลายปี ลูกๆ จะติดการมาเรียนรวีฯ แต่ไม่เป็นอย่างที่คิด ตอนนี้ลูกเรียนระดับประถมแล้ว กลับมีการต่อต้านการไปโบสถ์บางครั้งก็คนนั้นบางครั้งก็คนนี้แต่ขอบพระคุณพระเจ้าเรายังมาโบสถ์ได้ทุกอาทิตย
์แต่ไม่ทัน 09.30 น

                        ตอนนี้ครอบครัวของเราย้ายบ้านไกลจากโบสถ์ ถึงประมาณ 36– 38 กิโลฯ เราออกจากบ้านได้เช้าขึ้น แต่เราต้องใช้เวลาเดินที่ทางมากขึ้น  ดังนั้นจนถึงทุกวันนี้ ในทุก ๆ วันอาทิตย์  ยังคงมีปัญหาและอุปสรรคต่างๆ กันไป  ไม่ซ้ำกันเลยสักอาทิตย์ บางครั้งก็เป็นปัญหาของผู้ใหญ่ และบางครั้งเป็นปัญหาของเด็กๆ ที่ทำให้ครอบครัวขอเรายังคงสอบไม่ผ่านการพาลูกมาโบสถ์ให้ทันเวลานมัสการรวีฯ เราคงมาถึงประมาณ 10.10 – 10.20 น ยิ่งในวันอาทิตย์ที่มีหน้าที่แบ่งปันช่วงนมัสการเด็กเล็กก็จะรู้สึกเครียด แต่ด้วยความวางใจในพระเจ้าก็ถึงทันแบ่งปันทุกครั้ง  ด้วยเหตุนี่เราจึงมีกำลังใจที่จะนำลูกมาเรียนรวีฯ ทุกวันอาทิตย์   และคิดว่าสักวันเราจะมาทันนมัสการ 09.30 น ด้วยความมั่นใจในพระคุณความรักของพระเจ้า

                        ขอความรักมั่นคงของพระองค์เป็นที่เล้าโลมข้าพระองค์  อาเมน
                                                                                                                                              
                                                                                                                                                    
สุภิญญา  ตยานุกรณ์

 

              

Back