คำพยาน ครูเพ้ง “ทำไมถึงโกรธพระเจ้า”
ปีใหม่เพิ่งจะผ่านไปได้ไม่ถึงเดือน ก็มีเหตุการณ์ที่กระทบจิตใจผมจนรู้สึกท้อถอย มันเกิดขึ้นประมาณปลายเดือนมกราคมนี้เอง เป็นเรื่องของน้องชายที่มีอาการผิดปกติ เพราะป่วยทางจิต ซึ่งก็เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นมาหลายครั้งแล้วตลอด 20 กว่าปีที่ผ่านมา
ปัญหาเริ่มจากเขาแสดงท่าทางไม่เป็นมิตรกับใคร พูดจาก้าวร้าว ยั่วยุ กลางคืนนอนไม่ค่อยหลับ ความจริงนี่ไม่ใช่เกิดขึ้นครั้งแรก ซึ่งผมน่าจะเข้มแข็งพอและจัดการกับปัญหานี้ได้เหมือนทุกครั้ง ไม่น่าจะทำให้ผมท้อถอยและรู้สึกโกรธพระเจ้าจนไม่ยอมอธิษฐาน ไม่ยอมเฝ้าเดี่ยวอยู่ 2-3วัน แล้วอะไรคือสาเหตุ เป็นความคาดหวังของผมเอง จากการอธิษฐานเพียงแต่ผมไม่ได้อดทนจนถึงที่สุด ผมคิดว่าผมได้อดทนอธิษฐานเผื่อปัญหาต่าง ๆ มาหลายปี ทั้งเรื่องของน้องชาย เรื่องของพี่ ๆ และหลาน ๆ เรื่องการรับใช้ เรื่องงาน และเรื่องการเงิน และคิดว่าปัญหาเหล่านี้น่าจะดีขึ้น แต่กลับไม่ได้เป็นอย่างที่ต้องการ
ที่จริงการเผชิญปัญหาต่างๆ หลายๆ เรื่อง ได้ทำให้ผมมีประสบการณ์ความเชื่อ ซึ่งมีส่วนช่วยให้ผมเข้มแข็งขึ้น แต่เพราะยิ่งนานดูเหมือนปัญหาเหล่านี้ยังคงอยู่เหมือนเดิม และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่มันจะจบสิ้นเสียที มันกลับเปลี่ยนความเข้มแข็งให้กลายเป็นความท้อถอย พร้อมที่จะหยุดอธิษฐาน ยิ่งท้อถอย ยิ่งเกิดความคิดในใจว่า ที่ผ่านมาทุกครั้งที่เกิดปัญหา ถึงแม้จะอธิษฐานผมก็ต้องจัดการปัญหาทั้งหมดเองอยู่ดี ซึ่งมันไม่ต่างจากคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า
ทำไมผมอธิษฐานมาตลอดแต่พระเจ้ายังอนุญาตให้ปัญหาเกิดขึ้นกับคนในครอบครัวแย่กว่านั้นปัญหายังมาเกิดกับตัวเอง เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้ เมื่อประมาณ 3 ปีกว่าที่แล้ว บริษัทที่ผมทำงานอยู่เป็นบริษัทที่มั่นคงมีกำไรมา
ตลอด 90 กว่าปีตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง แต่ต้องปิดกิจการลง ทำให้ครอบครัวสูญเสียความมั่นคงและรายได้
ผมต้องหางานใหม่ ความจริงเรื่องทั้งหมดมันผ่านไปแล้ว และผมก็ไม่ได้ใส่ใจกับมัน แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่มีเหตุการณ์มาทำให้รู้สึกหงุดหงิด กระวนกระวายใจ มันพร้อมที่จะทำให้ผมรู้สึกแย่มากๆ จนเกือบจะหมดความอดทน ทำให้ผมมองไม่เห็นความช่วยเหลือจากพระเจ้า พร้อมที่จะหยุดอธิษฐาน และหยุดการรับใช้ แต่หลังจากจัดการเรื่องของน้องชายเสร็จแล้ว จิตใจผมรู้สึกสงบลง และลืมเรื่องร้าย ๆ ที่เพิ่งจะผ่านไป ผมมีโอกาสทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด
สืบเนื่องจากผมเริ่มรู้สึกแปลกใจและเห็นความแตกต่างบางอย่างระหว่างนั่งรอพบหมออยู่ที่โรงพยาบาล และพบเรื่องที่ทำให้ประหลาดใจว่า แท้จริงพระเจ้าทรงให้พระพร ดังนี้
เรื่องแรก “ไม่มีอะไรสูญเสียเลย” เดิมเวลาที่น้องชายมีอาการผิดปกติ เขาจะรื้อข้าวของในบ้าน เคยทุบทีวี เคยขนของในบ้านไปให้คนอื่น เคยถูกคนอื่นหลอกขอยืมเงินแล้วไม่ยอมคืน ครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว เขาลาก
ตู้ ,โต๊ะ, ชั้นวางของ, เครื่องคอมพิวเตอร์และ Printer และตู้เสื้อผ้าจากชั้น 2 เอาออกมากองบนถนนหน้าบ้าน เราต้องช่วยกัน 4 คน ใช้เวลาเกือบ 5 ชั่วโมง ขนของกลับคืนและจัดเข้าที่ และพบว่าทั้งโต๊ะ, ตู้เสียหายจนใช้ไม่ได้ เสื้อผ้าบางส่วนก็ทิ้งไป แต่ในครั้งนี้ผมสำรวจจนแน่ใจว่า ไม่มีอะไรสูญเสียเลย นั่นแสดงว่าพระเจ้าไม่ได้เพิกเฉยต่อคำอธิษฐานของผม แต่ทรงเตือนผมให้รีบจัดการปัญหาก่อนที่จะสายเกินไป
เรื่องที่สอง “มีคนช่วยพาไปส่งร.พ.” เดิมทุกครั้งมีแต่ผมคนเดียวที่ต้องจัดการเรื่องของน้องชาย เรื่องที่ยากก็คือหาทางพาเขาไปส่งร.พ.ไม่ว่าอาการจะหนักแค่ไหน จะไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เขา ไม่มีใครอยากยุ่งด้วย หลายครั้งต้องโทรตามตำรวจ พอมาถึงก็บอกว่า จะให้ช่วยอะไร ถ้าขอให้ช่วยพาไปส่งร.พ.ก็จะตอบว่า กำลังจะเปลี่ยนเวร หรือออกนอกเส้นทางไม่ได้ ครั้งนี้ผมโทรตาม 3 ครั้ง รอประมาณ 3 ชั่วโมงกว่า บอกเจ้าหน้าที่เวรว่า รออยู่ที่ห้องฉุกเฉิน ร.พ.มเหสักข์ เนื่องจากครั้งแรกเกลี่ยกล่อมเขาว่าให้ไปรักษาที่นี่ คิดว่าบอกอาการที่หมอเคยรักษาแล้ว คงฉีดยาให้ก็สงบลงได้ แต่กลับหนักกว่าเดิม กว่าจะยอมให้ฉีดยา ทั้งพยาบาลและผู้ช่วยหลายคนก็แทบเหนื่อย หลังจากฉีดยาแล้วเขาส่งเสียงดังมาก จนพยาบาลบอกให้โทรตามตำรวจพาเขาไปรักษาต่อที่ร.พ.สมเด็จ ที่ไม่ได้พาไปร.พ.สมเด็จตั้งแต่แรกเพราะเขาไม่ยอมไป เมื่อตำรวจมาถึง (มา 2 คนขับรถกะบะ 2 ตอนมา) ถามว่าจะให้ช่วยอะไร พอบอกว่าจะให้ช่วยพาไปส่งร.พ.สมเด็จ เขาเห็นอาการของน้องชายก็เริ่มลังเล เกลี้ยกล่อมนานกว่า 30 นาที จนในที่สุดก็ช่วยกันลากตัวน้องชายขึ้นรถพาไปส่ง พอถึงที่ก็ขอกลับเลย ผมเตรียมเงินส่งให้ ก็ไม่ยอมรับ บอกว่าไม่เป็นไรช่วยเหลือกัน ซึ่งไม่น่าเชื่อเลย มันต่างจากที่ผมคาดไว้เพราะทุกครั้งผมจะถูกปฏิเสธ ผมต้องหาทางพาเขาไปส่งเอง เพียงแต่ตำรวจช่วยทำให้เขายอมอ่อนลง พระเจ้าทรงให้ความช่วยเหลืออย่างอัศจรรย์
เรื่องที่สาม “เงื่อนไขในการรับเข้ารักษาในร.พ.สมเด็จ” การที่หมอเวรจะตัดสินใจรับหรือไม่รับไว้เป็นคนไข้ในขึ้นอยู่กับผู้ป่วยมีอาการรุนแรงหรือผิดปกติจนเห็นได้ชัดเจน เช่น พูดจาไม่รู้เรื่อง, ต้องช่วยกันจับมัด หรือให้ตำรวจใส่กุญแจมือพามาส่ง แต่ครั้งนี้ตอนที่น้องชายไปถึงร.พ.สมเด็จ เขาก็นั่งสงบ บอกให้ทำอะไรก็ยอม พูดจาก็เหมือนคนปกติ อาจเป็นเพราะยาฉีดน่าจะออกฤทธิ์หลังจากใช้เวลารอตำรวจ 3 ชั่วโมงบวกกับเวลาเดินทางมาร.พ. แต่ทำไมหมอเวรกลับรับตัวไว้ที่ ร.พ. ครั้งที่แล้วขนาดอาการรุนแรงถึงขั้นขนข้าวของตั้งมากมายมากองหน้าบ้าน สร้างปัญหาให้จนไม่มีใครเอาอยู่ เล่าอาการให้หมอฟัง หมอบอกว่าฉีดยาให้แล้ว เดี๋ยวก็สงบ ไม่ต้องอยู่ร.พ.ก็ได้ ญาติดูแลเองได้ และหลายครั้งที่พาไปส่งก็ถูกปฏิเสธ บอกว่า คนไข้เต็ม ไม่มีเตียงว่าง ครั้งนี้ไม่เข้าเงื่อนไขเลย น่าแปลกใจมาก ผมแค่พาเขามา ที่เหลือพระเจ้าทรงจัดเตรียมให้ทุกอย่าง หมอเล่าให้ฟังว่า ถามเขาว่ามากับใคร เขาตอบว่า ไม่รู้จัก ไม่ใช่พี่ชายเขา หมอเห็นว่าเขามีอาการหวาดระแวง ได้ยินเสียงเหมือนมีคนพูดกับเขา (อาการหูแว่ว) จะให้เขาพักรักษาที่ร.พ.ก่อน
คืนนั้นผมอธิษฐานสารภาพผิดและขอพระเจ้าให้อภัยที่เข้าใจพระองค์อย่างผิด ๆ
ผมได้ข้อเตือนใจว่า การอธิษฐานต้องคู่กับความอดทน แต่ผมช่างไม่อดทนเสียเลย ช่างน่าอายเมื่อคิดถึงการทนทุกข์ของพระเยซูคริสต์เพื่อทรงไถ่บาปของเรา สิ่งที่พระองค์ทรงกระทำต้องใช้ความอดทนมากกว่าสิ่งที่ผมทำหลายเท่า ในสวนเกทเสมนี (มธ.26:37..39) พระองค์ทรงโศกเศร้าและหนักพระทัย..... ทรงอธิษฐาน....อย่าให้เป็นไปตามใจปรารถณาของพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระเจ้า
อยากให้คำพยานของผมเป็นที่เตือนใจเพื่อน ๆ และผู้อ่านให้มีความอดทนและมีความหวังอยู่เสมอ และยังคงอธิษฐานอย่างสัตย์ซื่อต่อไป อย่าเพิ่งท้อใจเพราะปัญหาเสียก่อน
“...ท่านทั้งหลายจำเป็นต้องมีความอดทน เพื่อว่าท่านจะได้สามารถกระทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าได้ แล้วท่านจะได้รับสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้นั้น...” ฮีบรู. 10:36 |