สรุปการอบรมครูรวีฯ “I Like to Teach” วันที่ 8- 9/05/09
เกริ่นนำ: วิทยากรค่ายนี้ คืออาจารย์นิกร สิทธิจริยาภรณ์ โดยมีหัวข้อ ดังต่อไปนี้

  1. ทำอย่างไรให้ครูรวีฯ สอนสนุก ชวนติดตาม ไม่น่าเบื่อ มีความรู้ เหมือนที่อ.นิกร เทศนา
  2. ใช้หลักอะไรในการดึงข้อพระคัมภีร์ให้เข้ากับสิ่งที่สอน
  3. ต้องการ workshop ที่ให้ครูรวีฯออกมา present  เพื่อให้อ.นิกร comment
  4. ถาม-ตอบ

อาจารย์ได้จัดการเทศนาฟื้นฟูให้เป็นอันดับแรกและหลักการสอน โดยตัดรายการที่สามออกเท่าที่เวลามีให้ รายการที่ 1 และ 2 จะตรงกับเป็นสิ่งอาจารย์นิกรจัดมาให้
เนื่องจากอาจารย์ณิชารีย์ได้ให้แบบฟอร์มบันทึกสิ่งที่ได้จากการอบรมและสิ่งที่จะนำไปใช้ในรวีฯ ให้คุณครูที่เข้าอบรมได้บันทึกไว้ในแต่ละคาบ  ดังนั้นสิ่งที่สรุปต่อไปนี้ ได้รวบรวมจากการบันทึกที่คุณครูได้รับส่งกลับมาทั้งสรุปสิ่งที่ฟังได้และสิ่งที่จะนำไปใช้ในรวีฯ  
หากท่านใดต้องการรายละเอียดสามารถรับฟังเสียงบันทึกการอบรมนี้ที่เวปของรวีฯ
                                                                                                                                   

 เทศนาฟื้นฟู-สรุปสิ่งที่ฟังได้

  1. การเป็นครูรวีฯ ต้องรู้จักพระเจ้าเป็นอย่างดีและสามารถนำเด็กมาทางของพระเจ้าได้ (มธ. 19:13-15; ฮชย. 4:6, 9, 12; รม.2:19-24)
    1. ต้องรู้จักพระคัมภีร์ ต้องรู้เรื่องพระเจ้ามากๆ  รู้จักพระเยซู แล้วพาเด็กมาหาพระเยซู
    2. จงให้ชีวิตเป็นอุปกรณ์ไม่ใช่อุปสรรค  
    3. เพราะแผ่นดินสวรรค์เป็นเช่นเด็กเหล่านั้น เด็กเป็นแสงสว่างประกาศเรื่องของพระเจ้า
  2. ต้องสอนให้เด็กรู้จักตั้งเป้าหมาย
    1. ด้านศักยภาพในเรื่องเหตุและผล ความรู้เรื่องพระเจ้า
    2. ด้านจิตสำนึกผิดชอบ ชีวิตที่สำแดงถึงพระเจ้า
    3. ความตั้งใจ มีเป้าหมายชีวิต ให้เด็กมีการรับใช้พระเจ้า
    4. อารมณ์ และความรู้สึก ทำทุกอย่างด้วยความรัก แสดงความรักอย่างถูกต้อง
  3. คุณครูผู้สอนควรเป็นแบบอย่าง สอนอย่างไร ควรทำเป็นแบบอย่างได้ โดยให้มีเป้าหมายในการสอนเด็ก ให้รักพระเจ้าและรักเพื่อนบ้าน (สภษ.29:19)
  4. จุดประสงค์ในการสอนเด็ก
    1. ให้เด็กเติบโตฝ่ายวิญญาณ
    2. เป็นพยานได้
    3. สร้างเด็กให้เป็นผู้สอนต่อไปและเก่งกว่าตนเอง
  5. ให้ระวังการสอน

เทศนาฟื้นฟู-สิ่งที่จะนำไปใช้ในรวีฯ

  1. มีการพัฒนาความรู้พระคัมภีร์ให้มากขึ้น
  2. ควรมีการบันทึก การตั้งเป้าหมายและประเมินผลของคุณครูและเด็ก
  3. สอนโดยยึดพระคัมภีร์ ค้นคว้ามากขึ้นกว่าเดิมในการสอน
  4. มีเป้าหมายในการสอน
  5. ให้ครูมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระเจ้าและมนุษย์
  6. ให้เด็กมีเป้าหมาย รู้จักพระคัมภีร์ รักพระเจ้า สร้างเขาให้ไปสร้างคนอื่น
  7. เป็นแบบอย่าง สนับสนุนเด็กทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง

หลัการสอน1-สรุปสิ่งที่ฟังได้

  1. ยก.3:1 “อย่าเป็นอาจารย์กันมากมาย เพราะอาจารย์จะถูกพิพากษา 2 เท่า”
  2. การสอนต้องสอนจากพระคัมภีร์โดยเน้นความถูกต้องไม่เพิ่มหรือเสริม
  3. สอนแล้วต้องทำตามที่สอนด้วย
  4. ควรมีสื่ออื่นๆ เช่น แต่งเพลงให้น่าสนใจ
  5. หน้าที่ของครูรวีฯ คือ สร้างจุดยืนให้กับคริสเตียน
  6. 3 ลักษณที่ไม่ควรเป็น
    1. สิ่งที่พระเจ้าไม่ได้สอน แต่นำมาสอน
    2. สอนแต่ตัวเองไม่ทำ มธ.23:1-3
    3. เพิ่มความเข้มงวดกับผู้อื่น รู้ว่าสอนผิดแต่ไม่ยอมเปลี่ยน มี EGO
  7. คำสอนของเปาโล 2คร. 10:4-5 พระคัมภีร์มีอำนาจทำลายทิฐิมานะ อย่าคิดว่าตนฉลาด
  8. ท่าทีประสบการณ์ของเปาโล 2คร.11-12 เปาโลเตือนคริสเตียนในคร.เพราะมีความเชื่อที่เป็นรูปธรรม-จริง-ไม่จริง ต้องสัมผัสทั้ง 5 ส่วนนามธรรม ต้องมีพยาน 1- 3 ปาก มีข้อมูลภายในและภายนอกสนับสนุน คำถามที่จะเชื่ออะไร “ทำอย่างไรถึงจะรู้ว่าที่คุณพูดเป็นความจริง”
  9. ให้เรารู้จักที่จะวิเคราะห์ใครเป็นผู้รับใช้จริงหรือผู้รับใช้เทียมเท็จ
  10. ยน.17:17, , 2ปต.1:16, 1ทธ.1:4, 2ทธ.2:15, สภษ.30:6
  11. คำสอนของอ.เปาโล
    1. 2คธ.10:4-5เหตุผลจอมปลอม
    2. กจ.28:23-28 อ.เปาโลใช้พระคัมภีร์สั่งสอน
    3. คส.2:8-9 คริสเตียนเป็นเหยี่อด้วยหลักปรัชญา
    4. 2ทธ.3:12; 4; 5 การถูกล่อลวง
    5. 1คร.4:6 ให้อยู่ในขอบเขตพระคัมภีร์

หลัการสอน1-สิ่งที่จะนำไปใช้ในรวีฯ

  1. ต้องสอนในขอบเขตพระคัมภีร์ ใช้เวลาเตรียมการสอนให้มากขึ้น
  2. สอนโดยยึดพระคัมภีร์  ตามหลักคำสอนที่ถูกต้อง ไม่สอนเพี้ยนไปจากพระคัมภีร์
  3. แต่งเพลง ดึงข้อพระคัมภีร์ประกอบ
  4. สอนให้เด็กรู้จักและเชื่อจากพระคัมภีร์ ไม่ใช่เชื่อจากสิ่งที่เชื่อ
  5. ให้เรามีความเชื่อในพระคัมภีร์ และทำตาม
  6. ให้เราเป็นผู้ประกาศ

หลัการสอน2-สรุปสิ่งที่ฟังได้

  1. การสอนต้องสอนให้เชื่อในพระคัมภีร์เท่านั้น
  2. ไม่สอนตามประสบการณ์ของตัวเอง ที่ไม่มีข้อมูลความจริงใดๆมาสนับสนุน
  3. อย่าใช่ความสามารถของตนเองอย่างเดียว (ไม่ฐิทิ) ต้องรับฟังผู้อื่นด้วย
  4. ลัทธิเทียมเท็จ สอนผิด ในยุคสุดท้าย (ของประทานให้บางคนเป็นอัครทูต(มีใน NT)  บางคนเป็นผู้เผยพระวจนะ (มีใน OT) บางคนเป็นผู้ประกาศ, ศษ, อาจารย์ ซึ่งสามประเภทหลังปัจจุบันยังคงมีอยู่
  5. ภาพยนตร์ หรือหนังสือที่สื่อออกมาผิดๆ เอาข้อมูลภายในมาบอก  แต่ไม่มีพยานภายนอกมาสนับสนุน
  6. Faith in Bible = ยืนอยู่บนหลักพระคัมภีร์  (ถูก)
  7. Faith in Faith = เชื่อในความเชื่อของเขา (เพี้ยน)
  8. คนที่มีลักษณะของความรอด มีผลในชีวิตใหม่
    1. เวลาเจอเหตุการณ์ ตอบสนองต่อเหตุการณ์ต่างกับตอนที่ยังไม่เชื่อ
    2. มีความตั้งใจอยากทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า
    3. บังเกิดใหม่ อธิษฐานอ่านพระคัมภีร์ (อ่านโดยไม่ต้องบังคับ)
  9. ฮบ.4:12-13 พระวจนะเป็นดาบสองคม(ดาบของปุโรหิตมีด้ามใช้ผ่าสัตว์บูชาดูความไม่มีตำหนิ ดูไขข้อกระดูก พระคัมภีร์เปรียบเช่นนี้ ไม่ใช่ตัวเองต้องถูกเชือดบาดเจ็บก่อนเพราะกำดาบสองคมไว้ในมือ ตามที่บางคนตีความผิดๆ)

หลัการสอน2-สิ่งที่จะนำไปใช้ในรวีฯ

  1. เตรียมการสอนต้องเข้าใจในบทเรียนนั้นๆ เตรียมคำถามคำตอบที่เด็กจะถามได้โดยใช้ข้อพระคัมภีร์เป็นตัวตอบ
  2. เชิญคุณครูที่มีความรู้มาชี้แนะบางครั้ง
  3. สอนให้สอดคล้องกับหลักพระคัมภีร์
  4. เชื่อและยืนหยัดบนพื้นฐานของพระคัมภีร์
  5. สอนเด็กที่เชื่อให้เข้าใจในความรอดของเขา
  6. ครูรวีฯ ต้องสอนเด็กให้เชื่อในพระคัมภีร์ไม่ใช่ความเชื่อของเรา
  7. สะสมพระคัมภีร์ในจิตใจ เมื่อถึงเวลา พระวิญญาณบริสุทธิ์ จะสอนการตอบสนองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

หลัการสอน3-สรุปสิ่งที่ฟังได้

  1. สันติภาพต้องตั้งอยู่บนความถูกต้อง  เราต้องต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งสันติภาพที่ถูกต้อง กบนั่งกินแมลงอยู่กับที่เฉยๆ  จิ้งจกไปตามเหยื่อ ให้สอนพร้อมติดตาม
  2. เชื่อว่าพระเจ้าทรงเรียกเรา พระองค์จะดูแลเรารวมถึงครอบครัวของเราด้วย
  3. เมื่อถึงที่สุดของคุณ (เมื่อคุณได้ทำเต็มที่แล้ว) พระเจ้าจะเริ่มทำงานให้คุณ
  4. การเตรียมการสอน /พัฒนาความรู้พระคัมภีร์
    1. อธิษฐานขอสติปัญญาจากพระเจ้า(1คร 1:25) ครูรวีฯ ต้องมีความรู้ พระคัมภีร์ทั้งเล่ม และสามารถเล่าเรื่องให้เด็กฟังได้ทั้งหมด
    2. หาคู่มือในการสอน-คู่มือศึกษาพระคัมภีร์ เพื่อเข้าใจพระคัมภีร์มากขึ้น
      1. สารานุกรมพระคัมภีร์
      2. อรรถาธิบายพระคัมภีร์
      3. หนังสือศาสนศาสตร์ระบบ
      4. หนังสือเกี่ยวกับการประกาศ
      5. หนังสืออ่านเล่น พยานชีวิต
    3. เข้าคอร์สอบรมเพิ่มเติม อย่าหยุดที่จะเรียน (จงถ่อมใจและศึกษาในการฟัง อบรมเพิ่มพัฒนาการรับใช้/พัฒนาชีวิต) เช่น
      1. ศาสนศาสตร์ระบบ เพื่อ Faith in Bible
      2. เหตุผลหลักข้อเชื่อ
      3. ศาสนาเปรียบเทียบ
      4. ปรัชญาคริสเตียน
      5. การนำเสนอ วิธีหลักและการนำเสนอ (วาดรูป ดัดลูกโป่ง  สร้างสื่อเพื่อการนำเสนอ)
    4. Common Grace พระพรทั่วไป Special Grace พระคุณที่ให้บางคน หาความรู้ทั่วไปของคนทั่วไป เพื่อเสริมความรู้ให้เรา คำคม  ข้อคิด  เรื่องตลก

หลัการสอน3-สิ่งที่จะนำไปใช้ในรวีฯ

  1. ศึกษาร่วมกัน  ร่วมแบ่งปัน  เพิ่มความมั่นใจของคุณครู
  2. หาอุปกรณ์หรือสิ่งที่จะนำไปสอนเด็กๆ ให้เข้าใจมากขึ้น
  3. นำหลักการไปใช้ ต้องศึกษาพระคัมภีร์และค้นคว้าเพื่อให้เข้าใจพระคัมภีร์อย่างถูกต้อง
  4. สอนให้เด็กเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ
    1. ให้มีจิตใจที่มั่นคง
    2. พร้อมที่จะฟังเด็ก
    3. ให้ความรักที่ถูกต้อง
  5. ต้องมีใจ รับใช้พระเจ้า
  6. ขอคู่มือพระคัมภีร์

คำถาม/คำตอบ-สรุปสิ่งที่ฟังได้.

  1. การรู้จักจับประเด็น
  2. รู้จักใช้ข้อรพะคัมภีร์อย่างถูกต้อง
  3. การรับใช้โดยการเป็นครูรวีฯ เป็นหน้าที่
  4. เน้นความสัมพันธ์ที่เด็กควรมีต่อ คจ./เพื่อน/สังคม
  5. กฎบางอย่างยืดหยุ่นได้ แต่ต้องไม่ขัดกับกฎเกณท์ในพระคัมภีร์
  6. เวลาตีความพระคัมภีร์ อย่าเอาพระคัมภีร์ตีความพระคัมภีร์และอย่าอ้างข้อพระคัมภีร์ข้อเดียว เช่น การรับบัพติศมาโดย พระวิญญาณบริสุทธิ์ การพูดภาษาแปลกๆ ให้ใช้ศาสนาศาสตร์ระบบ คือพระคัมภีร์ที่กล่าวถึงเรื่องนี้ทั้งหมดมาตีความ กจ.2:4; 8:17; 10:46; 13:6
  7. ความดีไม่สามารถลบความบาปได้ เสื้อสกปรกใช้ “บรีส” ใจคนสกปรกใช้ “โลหิตพระเมษโปดก” (คำศัพท์อย่างนี้เด็กไม่เข้าใจ)
  8. หลักการตีความพระคัมภีร์ที่หลายคนยอมรับคือ การตีความตามหลักศาสนศาสตร์
    1. ต้องมีพยาน 2- 3 ปาก
    2. ต้องมีข้อมูลทั้งภายนอกและภายใน
  9. ชีวิตที่เปลี่ยน คือการอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่
  10. ใช้สติปัญญาให้เต็มที่ แล้วพระเจ้าจะเปลี่ยนก็แล้วแต่น้ำพระทัย
  11. การปลอบโยนคนเศร้า เพลง “นอกจากพระองค์” มาจากสดด.73 อาสาฟต่อว่าพระเจ้าว่าคนอธรรมดีกว่าคนของพระเจ้า แต่ในข้อ 17 อาสาฟคิดได้เพราะเข้ามาอยู่ในสถานนมัสการ เพราะอาสาฟเห็นปลายทางของคนอธรรมว่าพระเจ้ายุติธรรม คนอธรรมจะดับไปอย่างไฟ (บทที่ 37 และ 73ความรุ่งเรืองของคนอธรรม)
  12. พระเจ้าสร้างทุกอย่างมีกฎ 1. กฎวัตถุ 2.กฎพืช 3. กฎสัตว์ 4. กฎมนุษย์  มนุษย์ตั้งกฎเปลี่ยนได้ พระเจ้าตั้งกฎไม่สามารถเปลี่ยนกฎได้รม.2:15-16  แต่มนุษย์มีอิสระที่จะเลือกว่าจะทำหรือไม่ทำ  เมื่อเราทำตามกฎ พระเจ้าจะเรียกเราว่าเป็นทาสที่ดี  การทำดีเป็นหน้าที่ของมนุษย์ (อิสระคือทำอะไรก็ได้ที่อยู่ในกฎ ใช้อิสระแล้วอิสระก็หมดไป)
  13. ความบาปส่งผลให้มนุษย์เป็นเหมือนสัตว์ อยากทำอะไรก็ทำ  มนุษย์มีสัญชาตญาณ สัตว์ก็มีสัญชาตญาณ คือการตอบสนองในสิ่งที่เข้ามาในชีวิตโดยไม่มีการปิดบัง  แต่มนุษย์มีจิตวิญญาณของพระเจ้าเข้ามา control สัญชาตญาณ  อีกอย่างคือ ความบาปส่งผลให้เป็นมารคิดว่าตัวเองดีกว่าคนอื่น
  14. การเลือกคู่ครอง
    1. ต้องรักกัน
    2. มี 1:1
    3. เป็นเพศตรงข้าม
    4. เป็นคริสเตียน
    5. ผู้ปกครองเห็นด้วย
    6. ผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณรับรู้
  15. การรับใช้
    1. ทำทุกอย่าง
    2. ติดตามผล
    3. ผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ confirm
    4. ดูว่าเป็นของประทานที่ยิ่งทำยิ่งเพิ่ม
    5. ชอบคนที่มีของประทานเหมือนกัน
  16. โรมันคาธอลิกคนกลางคือมารีย์  เพิ่มข้อพระคัมภีร์ของ pope  รอดโดยการกระทำ
  17. คริสเตียน คนกลางคือ พระเยซู  ไม่มีเพิ่มพระคัมภีร์  เราเชื่อโดยพระคุณและความรอด
  18. ช่วงต่างๆ ที่พ่อแม่สามารถควบคุมเด็ก “อุ้ม อุ้ม จับ จูง นำ ชี้ ปล่อย”
  19. สิ่งใดที่เด็ดขาด ทำให้เด็ดขาด (เปรียบเทียบ มด-รำคาญ, ปลวก-เสียหาย บางเรื่องเพียงทำให้รำคาญไม่ใช่เรื่องใหญ่ ปล่อยได้ปล่อย บางเรื่องต้องจัดการอย่าปล่อย)
  20. พระคุณ มากับความรับผิดชอบ
  21. มธ.26:1-3 ฟังเทศน์อย่าทำตามความประพฤติ อุโมงค์ฝังศพฉาบปูนขาว หมายถึงหลอกคนให้มาแตะจะมลทิน มลทินด้วยการแตะสิ่งที่เป็นมลทินไปถึงเย็น แต่ถ้าแตะอุโมงค์ฝังศพจะมลทินไป 7 วัน

คำถาม/คำตอบ-สิ่งที่จะนำไปใช้ในรวีฯ

  1. ก่อนที่จะเอาข้อพระคัมภีร์หรือเรื่องหนึ่งเรื่องใดในพระคัมภีร์ไปสอน เราต้องรู้และตีความตามศาสนาศาสตร์ ค้นคว้าให้เข้าใจก่อน โดยทาง Internet ศัพท์สัมพันธ์ เพื่อให้เด็กเข้าใจ เพราะเด็กที่อยู่ในมือเราสำคัญมาก เพราะพระองค์ให้ของใหม่ๆ มาให้เรา
  2. ต้องเรียนรู้เพิ่มเติมและจงทำเพื่อเห็นแก่พระเจ้า
  3. ครูต้องคิด ใช้สติปัญญา วางแผน และอยู่ในน้ำพระทัยพระเจ้า
  4. วางใจพระเจ้าและรับใช้
  5. ต้องสอนความเข้าใจให้เด็ก
  6. สอนต้องมีหลักการ
  7. ทำหลักสูตรเอง

 

                                                                                                                                                                                                                       Back